วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส
 
เท่าที่มีหลักฐานบันทึกพอให้ค้นคว้า  ทำให้เราได้ทราบว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสได้เริ่มขึ้นที่ประเทศอังกฤษ  ในปี ค.ศ.  1890  ในครั้งนั้น  อุปกรณ์ที่ใช้เล่นประกอบด้วย  ไม้  หนังสัตว์  ลักษณะคล้ายกับไม้เทนนิสในปัจจุบันนี้   หากแต่ว่าแทนที่จะขึงด้วยเส้นเอ็นก็ใช้แผ่นหนังสัตว์หุ้มไว้แทน  ลูกที่ใช้ตีเป็นลูกเซลลูลอยด์  เวลาตีกระทบถูกพื้นโต๊ะและไม้ก็เกิดเสียง “ปิก-ป๊อก”  ดังนั้น  กีฬานี้จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งตามเสียงทีได้ยินว่า  “ปิงปอง” (PINGPONG)  ต่อมาก็ได้มีการวิวัฒนาการขึ้นโดยไม้หนังสัตว์ได้ถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นไม้แทน  ซึ่งได้เล่นแพร่หลายในกลุ่มประเทศยุโรปก่อน
      วิธีการเล่นในสมัยยุโรปตอนต้นนี้เป็นการเล่นแบบยัน (BLOCKING)  และแบบดันกด  (PUSHING)  ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นการเล่นแบบ  BLOCKING และ CHOP  การเล่นถูกตัด  ซึ่งวิธีนี้เองเป็นวิธีการเล่นที่ส่วนใหญ่นิยมกันมากในยุโรป  และแพร่หลายมากในประเทศต่าง ๆ  ทั่วยุโรป  การจับไม้ก็มีการจับไม้อยู่  2  ลักษณะ  คือ  จับไม้แบบจับมือ  (SHAKEHAND)  ซึ่งเราเรียกกันว่า  “จับแบบยุโรป”  และการจับไม้แบบจับปากกา (PEN-HOLDER)  ซึ่งเราเรียกกันว่า “จับไม้แบบจีน”  นั่นเองในปี ค.ศ. 1900  เริ่มปรากฏว่า  มีไม้ปิงปองที่ติดยางเม็ดเข้ามาใช้เล่นกัน  ดังนั้นวิธีการเล่นแบบรุกหรือแบบบุกโจมตี (ATTRACK หรือ OFFENSIVE)  เริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น  และยุคนี้จึงเป็นยุคของนายวิตเตอร์  บาร์น่า (VICTOR BARNA)  อย่างแท้จริง  เป็นชาวฮังการีได้ตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกประเภททีม  รวม 7 ครั้ง  และประเภทชายเดี่ยว  5 ครั้ง  ในปี ค.ศ. 1929-1935  ยกเว้นปี  1931  ที่ได้ตำแหน่งรองเท่านั้น  ในยุคนี้อุปกรณ์การเล่น โดยเฉพาะไม้มีลักษณะคล้าย ๆ กับไม้ในปัจจุบันนี้ วิธีการเล่นก็เช่นเดียวกัน คือมีทั้งการรุก (ATTRACK)  และการรับ (DEFENDIVE)  ทั้งด้าน  FOREHAND  และ  BACKHAND  การ จับไม้ก็คงการจับแบบ  SHAKEHAND  เป็นหลัก  ดังนั้นเมื่อส่วนใหญ่จับไม้แบบยุโรป  แนวโน้มการจับไม้แบบ PENHOLDER  ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมีน้อยมากในยุโป  ในระยะนั้นถือว่ายุโรปเป็นศูนย์รวมของกีฬาปิงปองอย่างแท้จริง
      ในปี ค.ศ. 1922  ได้มีบริษัทค้าเครื่องกีฬา  ไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าว่า “PINGPONG” ด้วยเหตุนี้กีฬานี้จึงเป็นชื่อมาเป็น  “TABLE TENNIS”  ไม่สามารถใช้ชื่อที่เขาจดทะเบียนได้ประการหนึ่ง  และเพื่อไม่ใช่เป็นการโฆษณาสินค้าอีกประการหนึ่ง  และแล้วในปี ค.ศ. 1926  จึงได้มีการประชุมก่อตั้งสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (INTERNATIONAL TABLETENNIS FEDERATION : ITTF) ขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนธันวาคม  ค.ศ. 1926  ภายหลังจากการได้มีการปรึกษาหารือในขั้นต้นโดย  DR. GEORG LEHMANN  แห่งประเทศเยอรมัน  กรุงเบอร์ลิน  เดือนมกราคม  ค.ศ. 1926  ในปีนี้เองการแข่งขันเทเบิลเทนนิสแห่งโลกครั้งที่ 1  ก็ได้เริ่มขึ้น  พร้อมกับการก่อตั้งสหพันธ์ฯ  โดยมีนายอีวอร์  มองตากู  เป็นประธานคนแรก  ในช่วงปี ค.ศ. 1940  นี้  ยังมีการเล่นและจับไม้พอจำแนก
ออกเป็น  3  ลักษณะดังนี้
      1.  การจับไม้  เป็นการจับแบบจับมือ
      2.  ไม้ต้องติดยางเม็ด
      3.  วิธีการเล่นเป็นวิธีพื้นฐาน  คือ  การรับเป็นส่วนใหญ่  ยุคนี้ยังจัดได้ว่าเป็น  “ยุคของยุโรป” อีกเช่นเคย

ในปี ค.ศ. 1950  จึงเริ่มเป็นยุคของญี่ปุ่นซึ่งแท้จริงมีลักษณะพิเศษประจำดังนี้คือ
      1.  การตบลูกแม่นยำและหนักหน่วง
      2.  การใช้จังหวะเต้นของปลายเท้า


ในปี ค.ศ. 1952  ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมการแข่งขันเทเบิลเทนนิสโลกเป็นครั้งแรก  ที่กรุงบอมเบย์  ประเทศอินเดีย  และต่อมาปี ค.ศ. 1953  สาธารณรัฐประชาชนจีน  จึงได้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกที่กรุงบูคาเรสต์  ประเทศรูมาเนีย  จึงนับได้ว่ากีฬาปิงปองเป็นกีฬาระดับโลกที่แท้จริงปีนี้นั่นเอง ในยุคนี้ญี่ปุ่นใช้การจับไม้แบบจับปากกา  ใช้วิธีการเล่นแบบรุกโจมตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรง  โดยอาศัยอุปกรณ์เข้าช่วย  เป็นยางเม็ดสอดไส้ด้วยฟองน้ำเพิ่มเติมจากยางชนิดเม็ดเดิมที่ใช้กันทั่วโลก

 


ที่มา:http://www.welovepingpong.com
               

     
คุณสมบัติของโต๊ะปิงปองที่ได้มาตรฐาน

  • พื้นหน้าด้านบนของโต๊ะเรียกว่า “พื้นผิวโต๊ะ” จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความยาว 2.74 เมตร ( 9 ฟุต) ความกว้าง 1.525 เมตร ( 5 ฟุต) และจะต้องสูงได้ระดับ โดยวัดจากพื้นที่ตั้งขึ้นมาถึงพื้นผิวโต๊ะสูง 76 เซนติเมตร ( 2 ฟุต 6 นิ้ว ) 

  • พื้นผิวโต๊ะให้รวมถึงขอบบนสุดของโต๊ะ แต่ไม่รวมถึงด้านข้างของโต๊ะที่อยู่ต่ำกว่าขอบบนสุดของโต๊ะลงมา 

  • พื้นผิวโต๊ะอาจทำด้วยวัสดุใดๆ ก็ได้ แต่จะต้องมีความกระดอนสม่ำเสมอ เมื่อเอาลูกเทเบิลเทนนิสมาตรฐานทิ้งลงในระยะสูง 30 เซนติเมตร ลูกจะกระดอนขึ้นมาประมาณ 23 เซนติเมตร

  • พื้นผิวโต๊ะจะต้องเป็นสีเข้มสม่ำเสมอและเป็นสีด้านไม่สะท้อนแสง ขอบด้านบนของพื้นผิวโต๊ะทั้ง 4 ด้านจะทางด้วยสีขาว มีความกว้าง 2 เซนติเมตร เส้นของพื้นผิวโต๊ะด้านยาว 2.74 เมตรทั้งสองข้างเรียกว่า “เส้นข้าง” เส้นของพื้นผิวโต๊ะด้านกว้าง 1.525 เมตร ทั้งสองข้างเรียกว่า “เส้นสกัด” 

  • พื้นผิวโต๊ะจะถูกแบ่งออกเป็นสองแดนเท่าๆ กัน กั้นด้วยเน็ตซึ่งขึงตั้งฉากกับพื้นผิวโต๊ะ และขนานกับเส้นสกัดโดยตลอด

  • สำหรับประเภทคู่ ในแต่ละแดนจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กันด้วยเส้นสีขาวขนาดกว้าง 3 มิลลิเมตร โดยขีดขนานกับเส้นข้างเรียกว่า “เส้นกลาง” และให้ถือว่าเส้นกลางนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอร์ตด้านขวาของโต๊ะด้วย 

  • ในการแข่งขันระดับมาตรฐานสากลโต๊ะเทเบิลเทนนิสที่ใช้สำหรับแข่งขันจะต้องเป็นยี่ห้อและชนิดที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติเท่านั้น และในการจัดการแข่งขันจะต้องระบุสีของโต๊ะที่จะใช้แข่งขันลงในระเบียบการแข่งขันด้วยทุกครั้ง

คุณสมบัติของเสาปิงปองและผ้าเน็ตที่ได้มาตรฐาน 


  •  ส่วนประกอบของเน็ตจะประกอบไปด้วย ตาข่าย ที่แขวนและเสาตั้ง รวมไปถึงที่จับยึดกับโต๊ะเทเบิลเทนนิส

  •  ตาข่ายจะต้องขึงตึงและยึดด้วยเชือกซึ่งผูกติดปลายยอดเสา ซึ่งตั้งตรงสูงจากพื้นผิวโต๊ะ15.25 เซนติเมตร ( 6 นิ้ว) และยื่นออกไปจากเส้นข้างของโต๊ะถึงตัวเสาต้านละ 15.25 เซนติเมตร ( 6 นิ้ว) 

  •  ส่วนบนสุดของตาข่ายตลอดแนวยาว จะต้องสูงจากพื้นผิวโต๊ะ 15.25 เซนติเมตร

  •  ส่วนล่างสุดของตาข่ายตลอดแนวยาวจะต้องอยู่ชิดกับพื้นผิวโต๊ะและส่วนปลายสุดของตาข่ายทั้งสองด้านจะต้องอยู่ชิดกับเสาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

  •  ในการแข่งขันระดับมาตรฐานสากล เน็ตที่ใช้สำหรับแข่งขันจะต้องเป็นยี่ห้อและชนิดที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติเท่านั้น และจะต้องเป็นสีเดียวกันกับโต๊ะที่ใช้แข่งขัน

 คุณสมบัติของลูกปิงปองที่ได้มาตรฐาน


  • ลูกเทเบิลเทนนิสจะต้องกลมและมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตร

  • ลูกเทเบิลเทนนิสจะต้องมีน้ำหนัก 2.7 กรัม 

  • ลูกเทเบิลเทนนิสจะต้องทำด้วยเซลลูลอยด์หรือวัสดุพลาสติกอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน มีสีขาว สีเหลือง หรือสีส้ม และเป็นสีด้าน

  • ลูกเทเบิลเทนนิสที่ใช้สำหรับแข่งขันจะต้องเป็นยี่ห้อและชนิดที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติเท่านั้น และจะต้องระบุสีของลูกที่จะใช้แข่งขันลงในระเบียบการแข่งขันทุกครั้ง

 

ที่มา:http://www.welovepingpong.com
               

    วิธีการจับไม้ปิงปอง


     
    
    แบ๊คแฮนด์ (หลังมือ)
    โฟร์แฮนด์ (หน้ามือ)
     
     
     






    1. การจับไม้แบบสากล SHAKE HAND
           การจับไม้ปิงปองวิธีนี้เป็นที่นิยมกันทั่วโลก มีวิธีการจับไม้ที่คล้ายกับการจับมือทักทายกันของชาวยุโรป สำหรับการจับไม้แบบนี้จะเหมาะสำหรับนักกีฬาที่ถนัดทั้งในการเล่นด้านโฟร์แฮนด์ Fore hand (หน้ามือ) และ ด้านแบ๊คแฮนด์ Back hand (หลังมือ) การจับไม้แบบสากลนี้จะเหมาะสำหรับการเล่นลูกต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะลูก TOP SPIN , BACK SPIN , SIDE SPIN ซึ่งการตีลูกต่างๆ นั้นจะไม่ฝืนธรรมชาติเหมือนกับการจับไม้แบบไม้จีน แต่การจับไม้แบบนี้มักจะมีจุดอ่อนอยู่ที่กลางลำตัวเพราะเมื่อคู่ต่อสู้ตีเข้ากลางตัว หากฝึกมาไม่ดีจะทำให้ตัดสินใจได้ยากว่าจะใช้ด้านใดในการตีลูก
     

     

     

    2. การจับไม้แบบจับปากกา หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จับแบบไม้จีน” CHINESE STYLE

     




          การจับไม้แบบนี้จะเป็นที่นิยมกันมากในนักกีฬาแถบทวีปเอเซียของเรา ได้แก่ จีน , ญี่ปุ่น , เกาหลี สำหรับนักกีฬาที่ใช้วิธีการจับไม้แบบนี้จะถนัดในการเล่นด้านโฟร์แฮนด์ได้ดีเป็นพิเศษ อีกทั้งจะต้องมีการเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ซึ่งชาวเอเซียเราส่วนใหญ่ตัวเล็กและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว การจับไม้แบบไม้จีน จึงเป็นที่นิยมกันแถบเอเซีย สำหรับในยุโรปแล้วมีนักกีฬาที่ใช้วิธีการจับไม้แบบนี้กันน้อยมาก เพราะนักกีฬายุโรปมักจะเคลื่อนที่ได้ช้า และการจับไม้แบบไม้จีนจะมีจุดอ่อนอยู่ที่ด้าน Back hand เพราะไม่สามารถเล่นลูก TOP SPIN ได้สะดวก แต่ปัจจุบันนี้ประเทศจีนได้คิดค้นวิธีการตีแบบใหม่ ซึ่งทำให้วิธีการจับไม้แบบไม้จีนมียุทธวิธีในการตีลูกได้รุนแรงและหลากหลายมากยิ่งขึ้น คือการใช้ด้านหลังมือตี ซึ่งอดีตที่ผ่านมาด้านนี้จะไม่ค่อยได้ใช้ในการตีลูก นักกีฬาจีนยุคใหม่จะถนัดในการเล่นลูกหลังมือนี้มากขึ้น เพราะสามารถเล่นได้ลูก TOP SPIN และ ลูกตบได้ดีอีกด้วย นับเป็นอาวุธใหม่สำหรับนักกีฬาจีนไว้ปราบนักกีฬาที่จับไม้แบบสากลโดยเฉพาะ
     
     
     
     
     
     
    ท่าการเตรียมพร้อม
     

    ก่อนรับลูกเสริฟทุกครั้ง หรือก่อนจะตีลูกใดๆ ก็ตาม นักกีฬาจะต้องเตรียมท่าทางของตนเองให้พร้อมก่อนที่จะเล่นทุกครั้ง เพราะหากเรารักษาท่าทางก่อนเล่นได้ดีและถูกต้อง จะช่วยให้เราตีลูกต่างๆ ที่กำลังจะตีนั้น ได้ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เมื่อตีลูกไปแล้ว นักกีฬาจะต้องกลับมายังท่าเตรียมพร้อมเพื่อจะตีลูกต่อไปทุกๆ ครั้ง
     

     
    สำหรับนักกีฬาที่ถนัดมือขวา ตำแหน่งที่ยืน ควรจะยืนอยู่ที่มุมด้าน BACK HAND ของตนเอง และนักกีฬาที่ถนัดมือซ้าย ตำแหน่งที่ยืนควรจะยืนที่อยู่มุมด้าน BACK HAND ของตนเอง 



    นักกีฬาถนัดมือขวา
    นักกีฬาถนัดมือซ้าย

     

    สำหรับการฝึกท่าการเตรียมพร้อมมีดังนี้

     
     
    1. ขา
    ระยะห่างระหว่างขาทั้ง 2 ข้าง อย่างน้อยที่สุดควรจะห่างเท่ากับระยะห่างระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้างของตัวเรา ไม่ควรที่จะแคบกว่าระยะห่างของไหล่เรา เพราะจะทำให้ทรงตัวได้ไม่ดี เมื่อเคลื่อนที่จะทำให้เสียหลักได้ง่าย
     
    2. ปลายเท้า
    ปลายเท้าควรจะชี้ไปข้างหน้าตามธรรมชาติปกติของลักษณะเท้าของเรา ไม่ควรชี้ออกด้านข้างลำตัวหรือชี้เข้าหาลำตัว เพราะกีฬาปิงปองจะมีการเคลื่อนที่ในด้านข้างมากที่สุด และที่สำคัญน้ำหนักตัวของเราควรจะให้อยู่ที่บริเวณปลายเท้าตลอดเวลา ไม่ควรจะปล่อยให้น้ำหนักตักตกอยู่ที่ส้นเท้า เพราะจะทำให้เคลื่อนที่ได้ช้า
     
    3. เข่า
    ส่วนเข่า ควรจะย่อลงเล็กน้อยพอสมควร ห้ามตึง เพราะจะทำให้การเคลื่อนที่ไม่สะดวก และไม่มีแรงส่งเมื่อต้องก้าวเท้าในระยะทางไกลๆ 
     
    4. ลำตัว
    ลำตัวควรเอียงไปด้านหน้า เพื่อให้สมดุลกับน้ำหนักที่ลงที่ปลายเท้าและหัวเข่า
     
    5. มือ
    มือที่ถือไม้ปิงปองควรจะอยู่ที่กลางลำตัว ปลายไม้ชี้ไปข้างหน้า และพร้อมที่จะใช้ทั้ง 2 ด้านตีลูก หากคู่ต่อสู้ตีมาด้านใดก็ตาม และควรจะอยู่สูงกว่าโต๊ะเล็กน้อย
     
    6. ตา
    สายตามองที่หน้าไม้ของผู้ต่อสู้ , ทิศทางการเคลื่อนที่ของผู้ต่อสู้ และมองลูกตั้งแต่ออกจากหน้าไม้ของคู่ต่อสู้จนมากระทบหน้าไม้ของเรา ตลอดเวลา
      
     

    ที่มา:http://www.welovepingpong.com
                   


    เบสิค 8 ประการของกีฬาเทเบิลเทนนิส

     1. BASIC : โฟร์แฮนด์

    จังหวะการตีลูกปิงปอง สำหรับจังหวะการตีลูกปิงปองนั้น  ให้เริ่มต้นจากการฝึกตีจังหวะช้า (C) ก่อน เมื่อชำนาญแล้วจึงค่อยปรับไปตีจังหวะที่ลูกกระดอนสูงสุด(B) และเมื่อชำนาญตีลูกจังหวะนี้แล้ว  ก็ปรับให้ตีจังหวะเร็ว (A) ตามลำดับ  รวมถึงเมื่อนักกีฬาตีได้ทุกจังหวะแล้ว  ผู้ฝึกสอนสามารถสร้างแบบฝึกให้นักกีฬาตีลูกจังหวะต่างๆ สลับกันได้ เช่น จังหวะ A 1 ครั้ง จังหวะ C 1 ครับ สลับกันไปเรื่อยๆ ก็ได้  ฯลฯ

    ลักษณะสัมผัสของหน้าไม้กับลูกปิงปอง
    ให้หน้าไม้สัมผัสถูกลูก ในลักษณะตีเต็มลูก


     

    การถ่ายน้ำหนักตัว (สำคัญมาก)


     สำหรับผู้เล่นมือขวา  



    1. ในจังหวะที่เหวี่ยงวงสวิงไปด้านข้าง เพื่อเตรียมจะตีลูก   ให้ถ่ายน้ำหนักตัวทั้งหมด ไปไว้ที่เท้าขวา

    2. ในจังหวะที่เหวี่ยงวงสวิงเข้าไปเพื่อตีลูกปิงปอง  ให้ถ่ายน้ำหนักตัวทั้งหมด ไปไว้ที่เท้าซ้าย
    สำหรับผู้เล่นมือซ้าย ให้ทำตรงกันข้าม

     


    2. BASIC : แบ๊คแฮนด์









    ลักษณะสัมผัสของหน้าไม้กับลูกปิงปอง
    ให้หน้าไม้สัมผัสถูกลูก ในลักษณะตีเต็มลูก
     
    จังหวะการตีลูก
     
    เริ่มฝึกจากตีลูกจังหวะ C  ตามด้วยจังหวะ B และจังหวะ A ตามลำดับ  ขอย้ำนะครับว่า  จังหวะต่างๆ เหล่านี้ นักกีฬาจำเป็นต้องฝึกตีให้ได้ เพราะจะส่งผลถึงการเล่นที่ได้เปรียบกว่าการตีลูกได้เพียงจังหวะเดียว
    
                                     
    การถ่ายน้ำหนักตัว (สำคัญมาก)
    สำหรับผู้เล่นมือขวา  
    1. ในจังหวะที่เหวี่ยงวงสวิงไปด้านข้าง เพื่อเตรียมจะตีลูก   ให้ถ่ายน้ำหนักตัวทั้งหมด ไปไว้ที่เท้าซ้าย
    2. ในจังหวะที่เหวี่ยงวงสวิงเข้าไปเพื่อตีลูกปิงปอง  ให้ถ่ายน้ำหนักตัวทั้งหมด ไปไว้ที่เท้าขวา
    สำหรับผู้เล่นมือซ้าย ให้ทำตรงกันข้าม
     
     
    3. BASIC : ลูกตัดด้านโฟร์แฮนด์ ( Forehand Back Spin)



    จังหวะการตีลูก
    ผู้เริ่มฝึก ให้ฝึกตีที่จังหวะ C ก่อน  เมื่อชำนาญแล้วก็เริ่มฝึกตีในจังหวะที่เร็วขึ้น  และจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากผู้เล่นสามารถตีลูกได้ทุกจังหวะ ทั้งจังหวะ A , B และ C
     
    สามารถตีลูกได้ทุกจังหวะ ทั้งจังหวะ A , B และ C

     




    ลักษณะการสัมผัสของหน้าไม้ กับ ลูกปิงปอง
    


     
    การถ่ายน้ำหนักตัว
     
    สำหรับผู้เล่นมือขวา ให้ก้าวท้าวขวาเข้าไปหาลูกปิงปอง พร้อมกับถ่ายน้ำหนักตัวไปที่ปลายเท้าขวาด้วยทุกครั้ง (นักกีฬามือซ้ายให้ถ่ายน้ำหนักตัวไปที่เท้าซ้าย)
      


    4. BASIC : ลูกตัดด้านแบ๊คแฮนด์ ( Backhand Back Spin)

    จังหวะการตีลูก
    ผู้เริ่มฝึก ให้ฝึกตีที่จังหวะ C ก่อน  เมื่อชำนาญแล้วก็เริ่มฝึกตีในจังหวะที่เร็วขึ้น  และจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากผู้เล่นสามารถตีลูกได้ทุกจังหวะ ทั้งจังหวะ A , B และ C



    ลักษณะการสัมผัสของหน้าไม้ กับ ลูกปิงปอง

    
    ให้หน้าไม้ปิงปอง สัมผัสถูกลูกปิงปอง ในลักษณะ เสียดสีกับผิวของลูกปิงปอง  เพื่อให้เกิดความหมุน โดยให้หน้าไม้พุ่งเข้าหาเน็ตปิงปอง

    และเมื่อมีความชำนาญแล้ว  นักกีฬาสามารถพลิกแพลงลักษณะของหน้าไม้ในการเข้าไปตัดข้างลูกปิงปองทั้งด้านซ้ายและขวาได้   ซึ่งจะทำให้การตัดลูกมีประสิทธิภาพที่หลากหลายขึ้น

    การถ่ายน้ำหนักตัว
    สำหรับผู้เล่นมือขวา ให้ก้าวท้าวขวาเข้าไปหาลูกปิงปอง พร้อมกับถ่ายน้ำหนักตัวไปที่ปลายเท้าขวาด้วยทุกครั้ง (นักกีฬามือซ้ายให้ถ่ายน้ำหนักตัวไปที่เท้าซ้าย)

     





     

     5. BASIC : ลูกท๊อปสปิน ด้านโฟร์แฮนด์ (Forehand Top Spin)

     จังหวะในการตีลูก
    ในเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มเล่นใหม่  ให้เริ่มฝึกตีลูกปิงปองในจังหวะที่ลูกลอยตกลงจากจังหวะสูงสุดเล็กน้อย  (จังหวะ C)
      
    การถ่ายน้ำหนักตัว
    การฝึกปิงปอง การถ่ายน้ำหนักตัวมีความสำคัญในทุกฝึกทุกเบสิค  สำหรับการฝึกลูก TOP SPIN ด้วยด้านโฟร์แฮนด์มีข้อแนะนำดังนี้ (สำหรับผู้เล่นมือขวา)
    1. ขณะที่ลากวงสวิงเพื่อเตรียมตีลูก  ให้ถ่ายน้ำหนักตัวไปไว้ที่เท้าขวา
    2. ขณะที่ลากไม้เพื่อเข้าไปตีลูกปิงปอง  ให้ถ่ายน้ำหนักตัวไปไว้ที่เท้าซ้าย
     
     
    6. BASIC : ลูกท๊อปสปิน ด้านแบ๊คแฮนด์ (Backhand Top Spin) 

    การฝึกตีลูก TOP SPIN ด้วยด้านโฟร์แฮนด์  ให้คิดถึงธรรมชาติของสรีระการเคลื่อนไหวของร่ายการทุกส่วนที่ไม่ฝืนธรรมชาติ และนำมาปรับใช้ในการฝึก  เสริมด้วยการถ่ายน้ำหนักซึ่งสำคัญมาก สาเหตุที่ผมจะเน้นย้ำเรื่องการถ่ายน้ำหนัก ก็เพราะการถ่ายน้ำหนักคือพื้นฐานของการฝึกฟุ๊ตเวิร์ค FOOT WORK ต่อไปในอนาคต


    7. BASIC : การบล๊อกลูก ด้านโฟร์แฮนด์

    จังหวะการตีลูกบล๊อก
    ลูกบุกที่ีคู่ต่อสู้ตีมา จะมีทั้งความรวดเร็ว และ ความหมุน  โดยเฉพาะหากเป็นการบุกด้วยลูกท๊อปสปิน ลูกจะมีความหมุนมากที่สุด ในจังหวะที่ีลูกกระดอนขึ้นสูงสุด  ดังนั้นการบล๊อกลูกท๊อปสปิน จะต้องบล๊อกก่อนลูกปิงปองจะกระดอนขึ้นถึงจังหวะสูงสุด คือ จังหวะ A ถึง จังหวะ B    

    



    ลักษณะของหน้าไม้ในการเข้าไปตีลูก
    ในขณะที่บล๊อกลูกนั้น หน้าไม้ปิงปองของเราจะต้อง ปิดหน้าไม้ เข้าไปตีลูกปิงปอง

     

    1.  
    8. BASIC : การบล๊อกลูก ด้านแบ๊คแฮนด์
     
    จังหวะการบล๊อกลูก
    ให้บล๊อกลูกในจังหวะที่ลูกปิงปองกำลังลอยขึ้น ก่อนถึงตำแหน่งสูงสุด คือ ตั้งแต่ตำแหน่ง A จนถึง ตำแหน่ง B  เช่นเดียวกับการใช้โฟร์แฮนด์บล๊อกลูก


    ลักษณะของหน้าไม้
    ให้นักกีฬาปิดหน้าไม้เข้าไปตีลูกปิงปอง เช่นเดียวกับการบล๊อกลูกด้วยโฟร์แฮนด์
    



     บทสรุปการฝึกขั้นเบสิก
     เน้นจังหวะ เน้นท่าทาง เน้นหน้าไม้ เน้นความต่อเนื่อง 
    • จังหวะ  คือ  การเข้าไปตีลูกปิงปองให้ถูกจังหวะ และฝึกให้ชำนาญขึ้นด้วยการตีให้ได้หลากหลายจังหวะ
    •  ท่าทาง  ได้แก่  ท่าทางการตี , การเคลื่อนไหวของร่างกาย , ขา , เท้า รวมถึงการถ่ายน้ำหนัก
    •  หน้าไม้  คือ ลักษณะของหน้าไม้ในการเข้าไปตีลูก , การเปิดปิดหน้าไม้ ให้ถูกต้อง
    •  ความต่อเนื่อง คือ การไม่ตีลูกเสียไปเอง  และต้องพยายามตีให้ได้นานที่สุด
     
     


    ที่มา:http://www.welovepingpong.com
                   

    วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558



    ประโยชน์ของกีฬาปิงปอง
     
     กีฬาเทเบิลเทนนิส หรือ ปิงปอง ที่เรารู้จักกันนั้น ถือเป็นกีฬาที่มีความยากในการเล่น เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เนื่องจากธรรมชาติของกีฬาประเภทนี้นั้น ถูกจำกัดให้ตีลูกปิงปองลงบนโต๊ะของคู่ต่อสู้ ซึ่งพื้นที่บนฝั่งตรงข้ามมีเพียง พื้นที่ แค่ 4.5 ฟุต X 5 ฟุตเท่านั้น และลูกปิงปองยังมีความเบามาก เพียง 2.7 กรัม เท่านั้น และความเร็วในการเคลื่อนที่จากฝั่งหนึ่ง ไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ยังใช้เวลาไม่ถึง 1 วินาทีอีกต่างหาก แถมลูกปิงปองที่ลอยอยู่ในอากาศนั้น ยังมีความหมุนรอบตัวเองได้ทุกทิศทางถึง 360 องศา  ซึ่งลูกปิงปองที่กำลังเคลื่อนที่มาหาเรานั้น เราจะต้องตีกลับไปอีกด้วย เพราะไม่ตี หรือ ตีไม่ได้ ก็หมายถึงการเสียคะแนนทันทีแต่ในความยากนั้น ก็ย่อมมีประโยชน์สำหรับผู้เล่นเหมือนกัน เพราะ เป็นกีฬาที่ต้องใช้ทุกส่วนของร่างกายร่วมกันทั้งหมด ซึ่งส่วนต่างๆ ที่ต้องใช้ มีดังนี้
    1. สายตา
    สายตาจะต้องจ้องมองลูกอยู่ตลอดเวลา แต่การจ้องลูกอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอ เพราะจะต้องจ้องมองและสังเกตหน้าไม้ของคู่ต่อสู้อีกด้วยว่า ตีลูกความหมุนลักษณะใดมาหาเรา
    2. สมอง
    ปิงปอง เป็นกีฬาที่ต้องใช้สมองในการคิดเป็นอย่างมาก เพราะรูปแบบการเล่นจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องวางแผนการเล่นอีกด้วย
    3. มือ
    มือที่ใช้จับไม้ปิงปอง จะต้องคล่องแคล่วและว่องไว รวมถึงต้องรู้สึกได้เมื่อลูกปิงปองสัมผัสถูกหน้าไม้
    4. ข้อมือ
    ในการตีบางลักษณะ จำเป็นต้องใช้ข้อมือเข้าช่วย ลูกจึงจะมีความหมุนมากยิ่งขึ้น
    5. แขน
    ต้องมีพลกำลังและมีความอดทนในการฝึกซ้อมที่ต้องซ้อมแบบซ้ำและซ้ำอีก
    6. ลำตัว 
    การตีลูกปิงปองในบางจังหวะ  ต้องใช้ลำตัวเข้าช่วย
    7. ต้นขา แน่นอนว่าเมื่อกีฬาปิงปองเป็นกีฬาที่มีความเร็วสูง ต้นขาจึงต้องแข็งแรง และเตรียมพร้อมในการเคลื่อนที่ตลอดเวลา
    8. หัวเข่า
    ต้องย่อเข่า เพื่อเตรียมพร้อมในการเคลื่อนที่
    9. เท้า
    ต้องเคลื่อนที่เข้าหาลูกปิงปองตลอดเวลา หากเท้าไม่เคลื่อนที่เข้าหาลูกปิงปอง ก็จะทำให้ไม่มีฟุตเวิร์ด และตามตีลูกปิงปองไม่ทัน

     

     
     
     
    แหล่งอ้างอิง

    ทักษะการตบลูกปิงปอง

     
     
     
     
     
     
     
     
     
    ที่มา:https://youtu.be/WOnBaxvSD00